ในยุคที่ทุกองค์กรขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูล” การหยุดชะงักเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจได้มหาศาล การปกป้องข้อมูลจึงไม่ใช่เพียงแค่การสำรองไฟล์ไว้เฉย ๆ อีกต่อไป แต่ต้องหมายถึงการ “พร้อมกู้คืนระบบได้ทันที” ทุกครั้งที่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ปัญหาคือระบบสำรองข้อมูลแบบเดิมนั้นมักทำงานช้า กินทรัพยากร และกระทบกับระบบ Production ที่ยังต้องให้บริการอยู่ตลอดเวลา นี่จึงเป็นที่มาของโซลูชัน Veeam x Pure Storage
ที่เกิดจากการผสานกันระหว่างซอฟต์แวร์ด้าน Data Protection อันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง Veeam และระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงอย่าง Pure Storage เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมการปกป้องข้อมูลที่ “เร็วกว่า เสถียรกว่า และกู้คืนได้จริง”
โซลูชันนี้เกิดจากการผสานกันระหว่างซอฟต์แวร์ด้าน Data Protection อันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง Veeam และระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงอย่าง Pure Storage เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมการปกป้องข้อมูลที่ “เร็วกว่า เสถียรกว่า และกู้คืนได้จริง”
- Pure Storage ส่งต่อความเร็วระดับ Flash ไปยังระบบสำรองข้อมูลของ Veeam
- ทำให้กระบวนการ Backup และ Recovery ดำเนินไปได้อย่างลื่นไหลแบบเรียลไทม์
- สามารถเชื่อมต่อกับ Cloud Provider ชั้นนำเพื่อขยายขอบเขตของการปกป้องข้อมูลออกไปยัง Cloud Layer ได้ทันที
ช่วยให้องค์กรยกระดับ Data Resilience ขึ้นไปอีกขั้น จากเดิมที่แค่ “สำรองข้อมูล” สู่การสร้างระบบที่ “พร้อมฟื้นตัวได้ทุกที่ ทุกเวลา” อย่างแท้จริง
Veeam คืออะไร? ทำไมถึงถูกเลือกใช้ทั่วโลก

ที่มา : https://www.genesis-technologies.com/products/veeam-backup-replication-foundation-edition-10-instance-license-1-year-universal-subscription-license
ถ้าพูดถึงซอฟต์แวร์ด้านการสำรองข้อมูลในระดับองค์กร ชื่อของ Veeam มักจะถูกพูดถึงเป็นลำดับต้น ๆ เพราะจุดแข็งของมันคือ “ความยืดหยุ่น” และ “ความเร็ว” ในการสำรองและกู้คืนข้อมูลโดยไม่ขึ้นอยู่กับระบบใดระบบหนึ่ง
Veeam ถูกออกแบบมาให้รองรับทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น Virtualization, Physical Server, Cloud Infrastructure หรือแม้แต่ระบบ SaaS อย่าง Microsoft 365 ทั้งหมดนี้สามารถบริหารจัดการได้จากศูนย์กลางเพียงจุดเดียว
Key Capabilities ของ Veeam ที่โดดเด่น:
- Instant Recovery: ฟีเจอร์ที่ช่วยให้สามารถกู้คืนเครื่องเสมือน (VM) หรือระบบที่สำคัญกลับมาได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความต่อเนื่องแบบ Zero Downtime
- Replication: ทำสำเนาข้อมูลไปยังไซต์สำรอง (DR Site) แบบเรียลไทม์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกรณีระบบหลักล่มโดยไม่ต้องรอการ Backup ปกติ
- Policy-based Backup:
ผู้ดูแลระบบสามารถตั้งค่าการสำรองข้อมูลแบบอัตโนมัติ เช่น ทุกวัน ทุกชั่วโมง หรือเมื่อมีเหตุการณ์เฉพาะเกิดขึ้น - Visibility & Reporting:
มีระบบรายงานแบบละเอียด ตรวจสอบสถานะการสำรองข้อมูลและประสิทธิภาพได้แบบเรียลไทม์
พูดให้ง่าย Veeam คือโซลูชันที่เข้ามาแก้ปัญหาของโลก Data Center ยุคใหม่ ที่ต้องการ “ความพร้อมใช้งานของข้อมูล” ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
Pure Storage: All-Flash Storage ที่ออกแบบมาเพื่อความเร็วและความเสถียร

ที่มา : https://www.purestorage.com/au/knowledge/what-is-pure-storage.html
ในขณะที่ Veeam คือสมองของระบบสำรองข้อมูล Pure Storage ก็เป็นเหมือนร่างกายที่แข็งแรงและเร็วพอจะรองรับทุกคำสั่งที่เข้ามา
Pure Storage เป็นผู้ผลิตระบบ All-Flash Storage Array ที่เน้นประสิทธิภาพสูงและการจัดการข้อมูลที่ชาญฉลาด ระบบทั้งหมดทำงานบนเทคโนโลยี NVMe (Non-Volatile Memory Express) ซึ่งช่วยให้ความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับระบบดิสก์แบบเดิม
สิ่งที่ทำให้ Pure Storage แตกต่างคือแนวคิด “Always Fast. Always On.” มันไม่ใช่แค่ Storage ที่เก็บข้อมูลได้มาก แต่ต้องทำงานได้ตลอดเวลาโดยไม่หยุดพัก
ความสามารถหลักของ Pure Storage:
- High Performance: รองรับการอ่านเขียนข้อมูลระดับหลายแสน IOPS ต่อวินาที ทำให้ระบบตอบสนองได้อย่างรวดเร็วแม้ในช่วงที่มีโหลดสูง
- Snapshot & Cloning: สร้าง Snapshot ของข้อมูลได้เกือบจะทันที โดยไม่กระทบกับระบบที่กำลังทำงานอยู่
- Purity Operating Environment: ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะที่ช่วยให้การบริหาร Storage เป็นไปแบบอัตโนมัติ ลดงานซ้ำซ้อนของผู้ดูแลระบบ
- Data Reduction: รวมเทคโนโลยี Deduplication และ Compression เพื่อใช้พื้นที่จัดเก็บได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
- ActiveCluster & Reliability: รองรับการทำงานแบบ High Availability และ Fault Tolerance ในตัว
สำหรับองค์กรที่ต้องการความเร็ว เสถียร และลด Downtime ให้น้อยที่สุด Pure Storage จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มั่นใจได้
เมื่อ Veeam จับมือกับ Pure Storage: ความสมบูรณ์แบบของ Data Protection Process
สิ่งที่ทำให้การจับคู่ของ Veeam และ Pure Storage น่าสนใจคือการเชื่อมต่อกันในระดับ “Storage Snapshot Integration”
ซึ่งหมายความว่าแทนที่ Veeam จะดึงข้อมูลโดยตรงจาก Production System (ซึ่งอาจทำให้ระบบช้า) Veeam จะสั่งให้ Pure Storage สร้าง Snapshot ของข้อมูลขึ้นมาก่อน จากนั้นค่อยนำ Snapshot นั้นไปทำการ Backup ต่อ
ลำดับกระบวนการโดยสรุป:
- Veeam Initiates Backup: เริ่มต้นคำสั่งสำรองข้อมูลจากระบบหลัก
- Pure Storage Executes Snapshot: สร้าง Snapshot ของข้อมูลในระดับ Storage Layer ภายในไม่กี่วินาที
- Veeam Processes Snapshot Data: ดึงข้อมูลจาก Snapshot ไปเก็บไว้ใน Backup Repository หรือ Cloud
- Replication (Optional): ส่งต่อข้อมูลไปยังไซต์สำรองเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- Instant Recovery: เมื่อเกิดเหตุขัดข้อง สามารถกู้ระบบกลับได้ทันทีจาก Snapshot หรือไฟล์สำรอง
ผลลัพธ์คือ: การสำรองข้อมูลที่เร็วขึ้นหลายเท่า ลดภาระโหลดของระบบ Production และยังสามารถกู้คืนระบบได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องหยุดการให้บริการ
การต่อยอดสู่ Hybrid Cloud และ 3-2-1 Backup Rule
นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันระหว่าง Veeam (Data Protection) และ Pure Storage (Flash Performance) ยังต่อยอดไปสู่ระดับ Cloud Provider (Resilience & DRaaS) ได้อย่างไร้รอยต่อ ทำให้เกิดพิมพ์เขียวโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยตามแนวคิด 3-2-1 Backup Rule นั่นคือมีข้อมูลอย่างน้อย 3 ชุด เก็บไว้บนสื่อ 2 รูปแบบ และอยู่นอกสถานที่ 1 ชุดบนคลาวด์ เพื่อป้องกันความเสียหายจากทุกสถานการณ์
ในสถาปัตยกรรมแบบนี้ Pure Storage ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลางความเร็วระดับ Flash” ที่ช่วยให้ Veeam ทำงานสำรองข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น AWS, Azure หรือ Google Cloud ก็จะสามารถขยายระบบไปสู่บริการ Disaster Recovery as a Service (DRaaS) ได้ทันที ช่วยเพิ่มทั้งความพร้อมใช้งาน (Availability) และความทนทานของข้อมูล (Data Resilience) ในระดับที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุค Hybrid Cloud อย่างแท้จริง
ตัวอย่างการใช้งานในสถานการณ์จริง

ที่มา : https://katalyst.kasikornbank.com/th/blog/Pages/what-is-big-data.html
ลองนึกภาพองค์กรขนาดใหญ่ที่มีระบบสำคัญทำงานอยู่ในศูนย์ข้อมูลหลัก (Data Center) บน Pure Storage ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ Production ทั้งหมด ข้อมูลและแอปพลิเคชันสำคัญถูกรันอยู่บนสภาพแวดล้อมความเร็วสูงเพื่อรองรับผู้ใช้งานนับพันรายต่อวัน
ในระบบนี้ Veeam จะเข้ามาทำหน้าที่จัดการการสำรองข้อมูลและสร้างสำเนา (Replica) ของ Virtual Machine ทั้งหมดไปยัง Cloud Provider ที่องค์กรเลือกไว้ ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือ Google Cloud โดยสามารถทำงานแบบอัตโนมัติผ่านการตั้งค่าภายใน Veeam Backup & Replication
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ศูนย์ข้อมูลหลักล่ม ไฟฟ้าขัดข้อง หรือระบบ Storage หลักไม่สามารถให้บริการได้ องค์กรสามารถสั่ง Failover ได้ทันทีให้ Workload ทั้งหมดไปทำงานต่อบน Cloud Provider ที่มีสำเนาระบบพร้อมใช้งานอยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอการกู้คืนจากไฟล์ Backup เหมือนในอดีต
- วิธีนี้ช่วยลดเวลา Downtime ลงอย่างมหาศาล
- ระบบบนคลาวด์จะรับช่วงต่อทันที
- ทีม IT สามารถบริหารจัดการทุกขั้นตอนผ่านคอนโซลของ Veeam ได้จากศูนย์กลางเดียว ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสถานะ Replication, การสั่ง Failover, หรือการ Failback กลับมาที่ศูนย์ข้อมูลหลักเมื่อทุกอย่างพร้อม
นี่คือตัวอย่างของการทำงานร่วมกันระหว่าง Veeam (Data Protection), Pure Storage (Flash Performance) และ Cloud Provider (Resilience & DRaaS) ที่สร้างระบบสำรองและกู้คืนข้อมูลครบวงจรในรูปแบบ Hybrid Cloud ได้อย่างแท้จริง ทั้งเร็ว เสถียร และยืดหยุ่น พร้อมรับมือทุกสถานการณ์โดยไม่สะดุดต่อธุรกิจ
ประโยชน์ที่องค์กรได้รับจากการใช้ Veeam x Pure Storage
การผสานพลังของทั้งสองเทคโนโลยีไม่ได้ช่วยแค่ให้การสำรองข้อมูลเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างความมั่นใจในระดับองค์กร
- ลด Downtime: Snapshot Integration ช่วยให้การกู้คืนระบบทำได้ภายในไม่กี่นาที
- ลดภาระของระบบ Production: กระบวนการ Backup ดึงข้อมูลจาก Snapshot แทนระบบจริง
- เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดเก็บ: สามารถเลือกเก็บข้อมูลได้ทั้งใน On-premise และ Cloud
- เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและบริหารได้จากจุดเดียว
- รองรับการขยายตัวในอนาคต: ทั้งสองระบบรองรับการ Scale-Out ได้แบบไม่มีสะดุด
ในแง่ของการปฏิบัติงานจริง ทีม IT จะรู้สึกได้ว่าการดูแลระบบสำรองข้อมูลมีความราบรื่นขึ้นมาก เพราะไม่ต้องจัดตารางเวลาสำรองตอนกลางคืนหรือช่วงที่ระบบว่างอีกต่อไป
สรุป: อนาคตของระบบ IT ที่มั่นคง

ที่มา : https://katalyst.kasikornbank.com/th/blog/Pages/what-is-big-data.html
ในโลกที่ข้อมูลคือทรัพยากรสำคัญที่สุดขององค์กร การมีระบบสำรองข้อมูลที่ “ทำงานเร็ว”, “ไม่กระทบระบบจริง” และ “กู้คืนได้ทันที” คือหัวใจของความต่อเนื่องทางธุรกิจ
- Veeam ทำหน้าที่เป็นสมองที่จัดการนโยบายสำรองข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด
- Pure Storage เป็นร่างกายที่เร็วและเสถียรพอจะรองรับทุกคำสั่งได้ในเสี้ยววินาที
เมื่อทั้งคู่ทำงานร่วมกัน กระบวนการ Data Protection ทั้งหมดจึงกลายเป็นเรื่องง่ายและเชื่อถือได้ในทุกสถานการณ์
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่กำลังเริ่มต้นสร้างระบบสำรองข้อมูล หรือองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการลด Downtime ให้เหลือศูนย์ การจับคู่ของ Veeam x Pure Storage คือแนวทางที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง และพร้อมรองรับอนาคตของข้อมูลที่เติบโตแบบไม่มีวันหยุด
The Future is Hybrid. การสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity) ยุคใหม่ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในศูนย์ข้อมูลหรือบนคลาวด์ใดคลาวด์หนึ่ง แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันของ Veeam, Pure Storage และ Cloud Provider ในการวางระบบ Data Protection และ Disaster Recovery ที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมทุกสภาพแวดล้อม พร้อมรับมือความเสี่ยงได้แม้ในกรณีที่เกิดเหตุล่มกับผู้ให้บริการ Hyperscaler Cloud เองก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว อนาคตของระบบ IT ที่มั่นคง คือระบบที่ “ไม่ว่าปัญหาจะเกิดที่ไหน ธุรกิจก็ยังเดินต่อได้เสมอ”
หากคุณกำลังมองหาแนวทางยกระดับระบบสำรองข้อมูลให้เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และพร้อมใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา การผสานพลังของ Veeam คือคำตอบที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณสำรองได้ไว กู้คืนได้จริง และลด Downtime ได้อย่างมั่นใจ พูดคุยกับเราเพื่อเริ่มต้นวางระบบ Data Protection ที่ตอบโจทย์องค์กรของคุณได้เลยที่นี่ Cloud HM

Blog Home





