AR และ VR คืออะไร ความแตกต่างที่เหมือนกันหรือไม่?

สวัสดีครับคุณผู้อ่าน วันนี้มาพบกันในช่วงกลางพฤศจิกายน เมืองไทยเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวกันแล้วใช่มั้ยครับ หวังว่าคงช่วยดับร้อนได้มากขึ้นนะครับ โอเครอบนี้มาในหัวข้อที่คาดว่าเทคโนโลยีนี้น่าจะมีการใช้งานเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในอนาคตครับ หลาย ๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วนั้นก็คือ AR และ VR นั่นเอง แล้วมันคือเทคโนโลยีอะไรล่ะ เดี๋ยวผมจะแจกแจงให้เข้าใจกันมากขึ้นนะครับ

AR

ย่อมาจาก Augmented Reality เป็นเทคโนโลยีที่นำวัตถุ 3 มิติ มาจำลองเข้าสู่โลกจริงของเรา

โดยมีหลักการทำงานคือใช้ Sensor ในการตรวจจับภาพ, เสียง, การสัมผัส หรือ การรับกลิ่น แล้วจะสร้างภาพ 3 มิติขึ้นมาตามเงื่อนไขที่ได้รับ ด้วยการประมวลจาก Software โดยผู้ใช้งานจะต้องมองผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แสดงภาพได้ ไม่ว่าจะเป็น แว่นตา, จอภาพ, จอ Smartphone หรือ คอนแทคเลนส์ ที่เป็น Hardware

ชนิดของ AR สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้

  1. Marker-Based – จะใช้วิธีติดตั้งในใบปลิว หรือ วัตถุต่าง ๆ โดยผู้ใช้งานสามารถดูภาพ 3 มิติได้จากการนำกล้องของ Smartphone ไปส่องที่วัตถุนั้น เช่น กระดาษเปล่าที่เมื่อส่องด้วยกล้อง Smartphone จะเจอข้อมูลแสดงขึ้นมา
  2. Markerless – ผู้ใช้งานสามารถหยิบจับวัตถุมาวางในโลกจริงได้ ผ่าน Application เช่น นำเฟอร์นิเจอร์เสมือนมาวางไว้ที่ห้อง ก่อนจะไปซื้อมาใช้จริง
  3. Location-Based – หากนำกล้อง Smartphone ส่องไปยัง Location-Based AR จะแสดงผลข้อมูลของสถานที่นั้น ๆ อ้างอิงจาก GPS เช่น แสดงป้ายบอกทาง และ ชื่อถนน

ตัวอย่างการเอาเทคโนโลยี AR ไปใช้

  1. การดูภาพ 3 มิติ จากการเปิดกล้องใน Smart phone ใช้เป็นสื่อการสอนในโรงเรียนได้
  2. แสดงเนื้อหาประกอบในสถานที่จริงนั้น ๆ เช่น เป็นป้ายบอกทาง (ของ Google) หรือ ใช้ในธุรกิจการท่องเที่ยว ตามสถานที่ท่องเที่ยว เช่น พิพิธภัณฑ์
  3. ใช้กับการเล่นเกมส์ ที่เกี่ยวกับ Location เช่น Pokemon GO
  4. ใช้ประโยชน์ในด้านการทหาร เรื่องการซ้อมรบ
  5. ใช้ในงานแสดงศิลปะ โดยให้ความละเอียดที่อ้างอิงจากชิ้นงานจริง
  6. ใช้ในสื่อโฆษณา ในการแสดงสินค้าต่าง ๆ 

pokemon
Source

VR

ย่อมาจาก Virtual Reality เป็นเทคโนโลยีที่จำลองสถานที่ขึ้นมาเป็นโลกเสมือนโดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการมองเห็น โดยผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่จำลองขึ้นมาได้ผ่านอุปกรณ์ เช่น แป้นพิมพ์, เม้าส์ หรือ ว่าอุปกรณ์ที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น ถุงมือ, รองเท้า เป็นต้น

VR จะไม่มีชนิดแบ่งแยกชัดเจน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้แว่นตา, Smartphone หรือ อุปกรณ์สวมใส่เพื่อใช้ในการเข้าไปสู่โลกเสมือน แต่จะมีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยให้สมจริงยิ่งขึ้น เช่น เครื่องจำลองการขยับของรถไฟเหาะจำลอง, เครื่องสร้างการสั่นสะเทือน

ตัวอย่างการเอาเทคโนโลยี VR ไปใช้

  1. ใช้ในการเล่นเกมส์ เช่น เกมส์แนว FPS (จำพวกยิงปืน) จะปืนจำลองให้ถือไปในระหว่างเล่น และ ตัวจำลองการเดินและวิ่งที่ผูกติดตัวเราไว้ คล้าย ๆ กับ Treadmill
  2. ใช้ในการจำลองการฝึกขับเครื่องบินของกัปตัน
  3. ใช้ในการจำลองการฝึกหัดทางทหาร เช่น การกระโดดร่ม โดยจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเป็นชุดกระโดดร่มจริง และ อุุปกรณ์ที่รั้งตัวให้สูงจากพื้น
  4. ใช้ในการสวมเพื่อจำลองห้องที่มีการตกแต่งแล้ว (บริษัทอสังหาริมทรัพย์บางรายมีการใช้เทคโนโลยีนี้ในการโครงการใหม่เพื่อช่วยให้อ้างอิงจากสถานที่จริงได้ง่ายขึ้น)

ggSource

สรุปข้อแตกต่างสั้น ๆ ระหว่าง AR และ VR

AR – เป็นการนำวัตถุเสมือนมาใช้กับโลกแห่งความเป็นจริง

VR – เป็นการจำลองโลกเสมือนแยกออกจากโลกแห่งความเป็นจริง

ความจริงแล้วเทคโนโลยีของทั้ง AR และ VR สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ผู้เขียนยกเพียงตัวอย่างที่ส่วนใหญ่จะใช้งานเป็นหลักมาครับ

หมายเหตุ : Blog นี้เป็นเพียงมุมมองและความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ

— Cloud HM